หัวข้อ   “ประเด็นเศรษฐกิจเดือนกันยายน 53”
                 นักเศรษฐศาสตร์  67.1%  เชื่อค่าเงินบาทไม่หลุดต่ำกว่า 30 บาทต่อ
ดอลลาร์สหรัฐ   พร้อมเสนอผู้ว่าฯ ธปท. คนใหม่ดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาทและ
ราคาสินค้า
ดีมาก (5)
ดี (4)
ปานกลาง (3)
พอใช้ (2)
แย่ (1)
 
 
 
                 ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)  เปิดเผยผลสำรวจความเห็น
นักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของ
ประเทศ จำนวน 27 แห่ง โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 6-10 ก.ย. ที่ผ่านมา พบว่า
 
                 นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 67.1 เชื่อว่าค่าเงินบาทในช่วงที่เหลือของปีจะเคลื่อน
ไหวอยู่ในระดับที่สูงกว่า 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐโดยเฉลี่ย และให้เหตุผลของการแข็งค่า
ดังกล่าวว่าเป็นผลมาจากเงินทุนที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น/ตลาดตราสารหนี้ (ร้อยละ 31.3)
การส่งออกที่ขยายตัวสูง/การเกินดุลการค้า (ร้อยละ 20.3) ทิศทางดอกเบี้ย ขาขึ้น/ส่วนต่าง
ดอกเบี้ยของไทยและกลุ่มประเทศชั้นนำ (ร้อยละ 15.8)
 
                 ประเด็นเกี่ยวกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 58.9   เชื่อว่า
นักลงทุนจะได้เห็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ระดับ 1,000 จุดภายในปีนี้ ซึ่งระดับดัชนีดังกล่าว
นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 43.8 เชื่อว่าเป็นระดับที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานและสภาพแวดล้อม
ทางเศรษฐกิจ ขณะที่ร้อยละ 41.1 เชื่อว่าเป็นระดับที่สูงกว่าปัจจัยพื้นฐานและสภาพแวดล้อม
ทางเศรษฐกิจ
 
                 สำหรับความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวคิดการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 250 บาทต่อวันของนายกรัฐมนตรีนั้น
นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 64.4 สนับสนุนแนวคิดของนายกรัฐมนตรี  โดยให้เหตุผลว่า ระดับราคาสินค้าในปัจจุบันปรับเพิ่มขึ้น
ทำให้ประชาชนมีค่าครองชีพเพิ่มขึ้นซึ่งจะกระทบกับประชาชนผู้ใช้แรงงาน   นอกจากนี้การปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจะทำให้
ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ใช้แรงงานดีขึ้น ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
 
                 ด้านข้อเสนอนักเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับประเด็นปัญหาทางเศรษฐกิจของไทยที่ต้องการให้ผู้ว่าการธนาคาร
แห่งประเทศไทยคนใหม่เข้ามาดูแลมากที่สุดคือ  ดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาทและเสถียรภาพของราคาสินค้า (ร้อยละ
58.6)   ดูแลธนาคารพาณิชย์ให้เกื้อกูลต่อเศรษฐกิจและคนในประเทศ (ร้อยละ 22.7)   และดูแลการเข้าถึงโอกาสทาง
การเงิน (โดยเฉพาะคนระดับรากหญ้าและ SMEs) (ร้อยละ 9.4)
 
                 โปรดพิจารณารายละเอียดต่อไปนี้
 
             1. ความเห็นประเด็น “การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทโดยเฉลี่ยในช่วงที่เหลือของปี

 
ร้อยละ
ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับที่สูงกว่า 30 บาทต่อดอลลาร์
สหรัฐโดยเฉลี่ย
67.1
ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
โดยเฉลี่ย
27.4
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
5.5
 
 
             2. ความเห็นประเด็น “ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าในปัจจุบัน

 
ร้อยละ
อันดับ 1 เงินทุนที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น/ตลาดตราสารหนี้
31.3
อันดับ 2 การส่งออกที่ขยายตัวสูง/การเกินดุลการค้า
20.3
อันดับ 3 ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น/ส่วนต่างดอกเบี้ยของไทยและกลุ่ม
ประเทศชั้นนำ(สหรัฐฯ, ยูโรโซน, ญี่ปุ่น)
15.8
อันดับ 4 เศรษฐกิจประเทศ G-3 ที่ยังแย่อยู่ (G-3 ได้แก่ประเทศ
สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เยอรมนี)
14.2
อันดับ 5 พื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง/เศรษฐกิจไทยเติบโตสูง
11.4
อันดับ 6 การเมืองที่มีเสถีรภาพมากขึ้น
3.4
อันดับ 7 การโจมตีค่าเงินบาท
1.8
อันดับ 8 อื่นๆ คือ นโยบายผ่อนคลายทางการเงินของประเทศ G-3
0.4
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
1.4
 
 
             3. ความเห็นประเด็น SET index ว่า “ภายในปีนี้นักลงทุนจะได้เห็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ระดับ
                 1,000 จุดหรือไม่


 
ร้อยละ
นักลงทุนจะได้เห็น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ระดับ 1,000 จุด
58.9
นักลงทุนจะไม่ได้เห็น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ระดับ 1,000 จุด
27.4
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
13.7
 
 
             4. ความเห็นประเด็น SET index ว่า “ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ระดับ 1,000 จุด เป็นระดับที่
                 สะท้อนเศรษฐกิจไทยอย่างไร

 
ร้อยละ
ดัชนีฯ อยู่ในระดับที่สูงกว่าปัจจัยพื้นฐานและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ
41.1
ดัชนีฯ อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ
4.1
ดัชนีฯ อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานและสภาพแวดล้อม
ทางเศรษฐกิจ
43.8
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
11.0
 
 
             5. ความเห็นเกี่ยวกับ แนวคิดการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 250 บาทต่อวันของนายกรัฐมนตรี

 
ร้อยละ
เห็นด้วย
      เพราะ  
  1. ราคาสินค้าในปัจจุบันเพิ่มขึ้นทำให้ประชาชนมีค่าครองชีพเพิ่มขึ้น
    ทำให้ประชาชนผู้ใช้แรงงานได้รับผลกระทบ การปรับเพิ่มค่าแรง
    ขั้นต่ำจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ใช้แรงงานดีขึ้น ช่วยลด
    ความเหลื่อมล้ำในสังคม
  2. ค่าแรงขั้นต่ำเดิมอยู่ในระดับต่ำเกินไป(ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น)
    อีกทั้งที่ผ่านมาค่าแรงขั้นต่ำปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าราคา
    สินค้าที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ภาครัฐควรจะต้องมีมาตรการรองรับ
    ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
  3. การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำถือเป็นการกระตุ้นการบริโภคอีกทางหนึ่ง
    อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาอุปสงค์ภายในประเทศ ลดการพึ่งพา
    ตลาดต่างประเทศ อันจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยมีความสมดุล
    มากขึ้น
64.4
ไม่เห็นด้วย
      เพราะ  
  1. การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจะก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อตามมา ดังนั้น
    จึงควรแก้ด้วยการควบคุมภาวะเงินเฟ้อมากกว่า   นอกจากนี้
    ยังส่งผลให้แรงงานไร้ทักษะว่างงานมากขึ้น
  2. จะทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น โดยที่ผลิตภาพการผลิตไม่ได้
    เพิ่มขึ้นตาม ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย
    และจะกระทบต่อเนื่องมายังการลงทุน
  3. ไม่ควรเพิ่มค่าแรงเท่ากันทุกพื้นที่เพราะอัตราเงินเฟ้อแต่ละพื้นที่
    ไม่เท่ากัน อีกทั้งทักษะความรู้ของแรงงานแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน
27.4
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
8.2
 
 
             6. ข้อเสนอนักเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจของไทยที่ต้องการให้ผู้ว่าการธนาคารแห่ง
                 ประเทศไทยคนใหม่ (คุณประสาร ไตรรัตน์วรกุล) เข้ามาดูแลมากที่สุด (ในขอบข่ายงานของ
                 ธนาคารแห่งประเทศไทย)


 
ร้อยละ
1. ดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาทและเสถียรภาพของราคาสินค้า
    โดยการ
  • การควบคุมเงินทุนไหลเข้าโดยเฉพาะเงินไหลเข้าเพื่อการเก็ง
    กำไร (Hot money)
  • เสนอให้ตั้งกองทุนความมั่นคงแห่งชาติ (Sovereign Wealth
    Fund)
  • เสนอให้ดูแลอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เหมาะสมต่อการรักษา
    เสถียรภาพค่าเงินบาท และเสถียรภาพราคาสินค้า
58.6
2. ดูแลธนาคารพาณิชย์ให้เกื้อกูลต่อเศรษฐกิจและคนในประเทศ  โดยการ
  • ดูแลส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากให้เหมาะสม
  • ดูแลอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ส่วนบุคคลไม่ควรสูงเกินควร  เช่น
    ปัจจุบัน (ควรเสนอทางเลือกให้กับคนที่มีระเบียบวินัยในการ
    ชำระเงินกู้ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า)
  • ดูแลค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ให้
    เป็นธรรม
  • แก้ปัญหา NPL ในระบบสถาบันการเงิน
22.7
3. ดูแลการเข้าถึงโอกาสทางการเงิน (โดยเฉพาะคนระดับรากหญ้าและ
    SMEs) โดยการ
  • การเข้าถึงแหล่งทุนสำหรับคนรากหญ้าและSMEs
  • จัดตั้งธนาคารชุมชนหรือแหล่งเงินทุนในชุมชน เพื่อลดการ
    ผูกขาดของระบบธนาคาร
  • อัตราดอกเบี้ยสำหรับคนกลุ่มนี้ควรอยู่ในระดับต่ำ
9.4
4. อื่นๆ เช่น การนำทุนสำรองไปใช้ประโยชน์ การยอมให้ค่าเงินบาทแข็งค่า
    ขึ้นบ้าง กระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนและภาคเอกชน ดำเนินนโยบาย
    ที่สอดคล้องกันระหว่างนโยบายการเงินกับนโยบายการคลัง เป็นต้น
9.3

                 หมายเหตุ : มีนักเศรษฐศาสตร์ร่วมแสดงความคิดเห็นในประเด็นนี้ทั้งหมด 53 คน
 

** หมายเหตุ:  รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้   เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของ
                     นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใด

 
 
รายละเอียดในการสำรวจ
วัตถุประสงค์:
                  1. เพื่อสะท้อนความเห็นในประเด็นด้านเศรษฐกิจจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจโดยตรง
                      ไปยังสาธารณชนโดยผ่านช่องทางสื่อมวลชน
                  2. เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการและวางแผนงานเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์
                      สูงสุดกับประเทศไทย
 
กลุ่มตัวอย่าง:
                        เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์
               (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใด
               อย่างหนึ่ง  จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้
               ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปี)  ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจ
               ระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 27 แห่ง ได้แก่   ธนาคารแห่งประเทศไทย   สำนักงานคณะกรรมการพัฒนา
               การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ   สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง   สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร   สำนักงาน
               เศรษฐกิจอุตสาหกรรม   สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า   สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
               ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย  ธนาคารกรุงศรีอยุธยา   ธนาคารไทยพาณิชย์   ธนาคารธนชาต   ธนาคารนครหลวงไทย
               ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย   ธนาคารกรุงไทย   บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย
               บริษัทหลักทรัพย์ภัทร   บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส   บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ   บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน
               บริษัทหลักทรัพย์ไอร่า   บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส   บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด   ตลาดหลักทรัพย์แห่ง
               ประเทศไทย   คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ   คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
               คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่   และอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์และนักวิจัยประจำศูนย์วิจัย
               มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
 
ระเบียบวิธีการสำรวจ:
                        รวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายใน
               ระยะเวลาที่กำหนด
 
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล: 6 - 10 กันยายน 2553
 
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ: 13 กันยายน 2553
 
สรุปข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง:
ตารางข้อมูลประชากรศาสตร์
 
จำนวน
ร้อยละ
ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่:    
             หน่วยงานภาครัฐ
31
42.5
             หน่วยงานภาคเอกชน
30
41.1
             สถาบันการศึกษา
12
16.4
รวม
73
100.0
เพศ:    
             ชาย
37
50.7
             หญิง
36
49.3
รวม
73
100.0
อายุ:
 
 
             18 – 25 ปี
1
1.3
             26 – 35 ปี
34
46.6
             36 – 45 ปี
18
24.7
             46 ปีขึ้นไป
20
27.4
รวม
73
100.0
การศึกษา:
 
 
             ปริญญาตรี
3
4.1
             ปริญญาโท
55
75.4
             ปริญญาเอก
15
20.5
รวม
73
100.0
ประสบการณ์ทำงาน:
 
 
             1 - 5 ปี
15
20.5
             6 - 10 ปี
24
32.9
             11 - 15 ปี
7
9.6
             16 - 20 ปี
9
12.3
             ตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป
18
24.7
รวม
73
100.0
 
ติดตามกรุงเทพโพลล์ผ่าน twitter ได้ที่  twitter bangkokpoll
Download PDF file:  
 
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)
Email: bangkokpoll@bu.ac.th      โทร. 0-2350-3500 ต่อ 1770-1776